#busguy #จดมาสรุปให้ฟัง #ธุรกิจแบ่งปัน
.
การคิดบวก (Positivity) เป็นการคิด การรู้สึก หรือการมองอย่างมีหวังว่าต้องมีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นในอนาคต ถือเป็นพลังทางความคิดที่จะช่วยให้ผ่านพ้นสถานการณ์ที่แย่ไปได้ โดยการคิดบวกนั้น เริ่มง่ายๆ ด้วยการคิดหรือพูดคุยกับตนเองก่อน. การมองโลกในแง่ดี (Optimism) เป็นการเชื่อมั่นว่าจะมีสิ่งดีๆ หรือเรื่องราวดีๆ ที่เป็นบวกเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งไม่ใช่การมองข้ามในสถานการณ์ปัจจุบัน หรือไม่สนใจเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่มีศรัทธาและเชื่อมั่นในสิ่งดีๆ ในอนาคต.
.
การคิดบวกนั้นถือเป็นสิ่งที่ดี เพราะคนคิดบวกมักจะเป็นคนที่ไม่เครียดและมองโลกในแง่ดี ซึ่งมักทำให้มีคนอยากอยู่ใกล้ อยากพูดคุยด้วย. อย่างไรก็ดี การคิดในแง่ดี การมองในแง่ดีไปทั้งหมด ก็อาจเป็นการปฏิเสธสถานการณ์ ทำเป็นไม่สนใจ เพิกเฉยต่อเหตุการณ์ปัจจุบัน. สิ่งที่สำคัญคือการมองโลกในแง่ดีและการคิดบวกนั้น เราสามารถมองให้เป็นแง่ดีกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ คือ การมองสิ่งต่างๆ อย่างเข้าใจ ยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น และหากเป็นเรื่องไม่ดีก็รู้จักคิดและพยายามหามุมมองที่เป็นประโยชน์ทางด้านบวกจากสิ่งนั้นๆ ให้เกิดประโยชน์.
.
คนที่คิดบวกจะมองสิ่งต่างๆ ทั้งในด้านดีและด้านไม่ดี แต่คนเหล่านี้เลือกที่จะรับรู้และเข้าใจในด้านที่ไม่ดี แต่ไม่ยึดติด และโฟกัสในด้านที่ดี เพื่อสร้างพลังบวกให้แก่ตนเอง. เมื่อมองกลับมาในองค์กร ปัญหาหนึ่งที่พบเจอคือ การคิดบวกได้กลายเป็นวัฒนธรรมเชิงสังคมในการทำงานที่จำเป็นต้องคิดบวก ต้องมีแนวคิดต่อการทำงานที่ดี ทั้งนี้การถูกบังคับให้คิดบวกนั้นอาจทำให้เราเจ็บปวดได้มากกว่าเดิม เพราะเป็นการผลักให้ออกจากความรู้สึกที่ควรจะได้รับ และทิ้งให้ติดอยู่กับความรู้สึกผิดเพราะคิดไม่เหมือนใคร. วัฒนธรรมการคิดบวกเป็นสิ่งที่ดี แต่ต้องไม่ทำให้ใครต้องรู้สึกแบกความรับผิดชอบไว้มากเกินไป และต้องไม่ใช่วัฒนธรรมเชิงบังคับ ซึ่งความคิดดังกล่าวต้องมาจากความรู้สึกของบุคคลนั้นจริงๆ จึงจะเป็นสิ่งที่ดี มีประโยชน์.
🙏🙏
อ้างอิง: 'วัฒนธรรมการคิดบวกมองโลกในแง่ดี กำลังจะกลายเป็นพิษภัยให้องค์กร' ดร.ฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ กรุงเทพธุรกิจ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น