ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ความเหลื่อมล้ำ (s.150)

  


ปัจจุบันเรามีการพูดถึงความเหลื่อมล้ำกันมากขึ้นเมื่อเทียบกับในอดีต โดยเฉพาะภายหลังจากวิกฤตโควิด-19 ที่เริ่มทรงตัวและดีขึ้น ความเหลี่ยมล้ำกลับดูเหมือนยิ่งมีความรุนแรงมากขึ้นโดยเฉพาะความเหลี่อมล้ำในความมั่งคั่งที่เหมือนมีความแตกต่างกันอย่างรุนแรงในทุกสังคมในโลกนี้  ทั้งนี้ในทางเศรษฐศาสตร์ ความเหลื่อมล้ำสามารถแบ่งได้เป็น 3 มิติ คือ 1.ความเหลื่อมล้ำในการกระจายรายได้  2.ความเหลื่อมล้ำในความมั่งคั่งหรือทรัพย์สิน และ 3.ความเหลื่อมล้ำในโอกาสของคนในสังคม

ในบริบทของประเทศไทยเรา การกระจายรายได้ของประเทศมีแนวโน้มแย่ลงต่อเนื่องมา โดยเฉพาะตั้งแต่ช่วงปี 2503 จนถึงก่อนวิกฤตต้มยำกุ้งในปี 2540 อย่างไรก็ดีผลของการกระจายรายได้ยังมีข้อสงสัยในการจัดเก็บข้อมูล ซึ่งเชื่อว่าจริงๆ แล้วความเหลื่อมล้ำน่าจะมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบัน.  ในแง่ของความมั่งคั่ง ประเมินว่ากลุ่มผู้ที่รวยที่สุด 1% เป็นเจ้าของสินทรัพย์กว่า 66% ของสินทรัพย์ทั้งหมดในประเทศ ซึ่งไทยถือว่าเป็นประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำในเรื่องนี้เป็นอันดับต้นๆ ของโลก.  และสุดท้ายในเรื่องความเหลื่อมล้ำด้านโอกาส แนวโน้มไม่ได้แตกต่างจากความเหลื่อมล้ำด้านสินทรัพย์ โดยคนรวยมีโอกาสในสังคม เช่น การเล่าเรียน มากกว่าคนจนอย่างมีนัยสำคัญ

ทั้งนี้ในประวัติศาสตร์โลกของเราในอดีต มี 4 เหตุการณ์ที่ทำให้ความเหลื่อมล้ำลดลงได้ ได้แก่ 1.สงคราม  2.การปฏิวัติทางการเมือง  3.รัฐล้มเหลว และ 4.โรคระบาด  แต่ก็มักเป็นการลดลงเพียงชั่วคราวจนเมื่อสถานการณ์เหล่านั้นจบลง  ทั้งนี้ในทางเศรษฐศาสตร์มีความเชื่อว่าการะจายรายได้ที่แย่ลง เมื่อประเทศเริ่มมีการพัฒนาจะปรับตัวดีขึ้นเมื่อเศรษฐกิจพัฒนาในระดับที่สูงขึ้น เพราะระบบเศรษฐกิจจะมีกลไลในการช่วยลดความเหลื่อมล้ำพร้อมการเติบโต

อย่างไรก็ดี การที่เศรษฐกิจเติบโตจะช่วยให้ลดความเหลื่อมล้ำ ดูเหมือนจะไม่จริงนักในบางบริบทดังเช่นประเทศไทยของเรา ซึ่งหากวิเคราะห์จะพบว่ากลไกต่างๆ เช่น ระบบแข่งขัน ระบบภาษี หรือแม้กระทั่งโอกาสการเข้าถึงการศึกษา สาธารณสุข ของเรามีปัญหา ดังนั้นการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำอาจไม่ใช่แค่การแจกเงิน หรือให้เงินอุดหนุนเรื่อยไป แต่ควรเป็นการปฏิรูปกลไกต่างๆ ให้กลับมามีประสิทธิภาพและสร้างเท่าเทียมของคนในประเทศอีกครั้ง.
👍

-- ถ้าชอบช่วยกด Like, ถ้าดีช่วยกด Share เพื่อเป็นข้อมูลให้ทีมงานนำไปปรับปรุงต่อไป ขอบคุณมากครับ 🙏🙏

#busguy 
#ธุรกิจแบ่งปัน #business

อ้างอิง: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 19 ตุลาคม 2563 คอลัมม์เศรษฐศาสตร์บัณฑิต เรื่องแนวทางลดความเหลื่อมล้ำ โดย ดร.บัณฑิต นิจถาวร

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

กระตุ้นพฤติกรรม ด้วยโบนัสแบบ Spot (s.154)

  บริษัทจำนวนมาจะมีระบบการให้ผลตอบแทนที่เรียกว่า "โบนัส" ประจำปี  โดยอาจพิจารณาจากผลประกอบการของบริษัทร่วมกับผลงานของพนักงาน และโบนัสดังกล่าวมักอยู่ในรูปของเงินก้อนใหญ่เมื่อเปรียบกับเงินเดือนของพนักงานผู้นั้น ทำให้บริษัทต้องมีภาระทางการเงินเป็นจำนวนมากในช่วงเวลาดังกล่าวที่มีการให้โบนัส  อย่างไรก็ดียังมีวิธีหนึ่งในการให้ผลตอบแทนพนักงานซึ่งเป็นการให้ที่ถี่กว่าและจำนวนเงินก้อนเล็กกว่าเมื่อเทียบกับโบนัสประจำปี ซึ่งอาจเรียกว่าโบนัสในลักษณะนี้ว่าเป็น Spot Bonus โดยทั่วไปนั้น Spot Bonus จะให้กับพนักงานหรือกลุ่มของพนักงานสำหรับพฤติรรม การกระทำ หรือผลลัพธ์ในเรื่องหนึ่งๆ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการกระตุ้นผลงานและสร้างแรงจูงใจของพนักงานในการทำงาน โดยมักเกี่ยวข้องกับงานที่เป็นโครงการ หรือเป็นการให้เพื่อส่งเสริมการกระทำหรือพฤติกรรมบางอย่างที่บริษัทประสงค์จากตัวพนักงาน.  ประโยชน์การนำ Spot Bonus มาใช้ในองค์กรนั้นมีประเด็นที่น่าสนใจที่สามารถนำไปปรับใช้ได้ ดังนี้ 1. Spot Bonus สามารถสร้างความพึงพอใจให้กับพนักงานได้บ่อยครั้งขึ้น - แทนที่ต้องรอโบนัสในช่วงปลายปี การให้ Spot Bonus จะ...

Word of the Year 2022 (s.540)

  #จดมาสรุปเป็นข้อ #ธุรกิจแบ่งปัน #busguy  ➼ Word of The Year ที่นำเสนอโดยสำนักพิมพ์ดิกชันนารีออกฟอร์ด ซึ่งได้ประกาศออกมาโดยการใช้วิธีการโหวตออนไลน์ ได้คำว่า "goblin mode" ซึ่งหมายถึงชนิดของพฤติกรรมที่ตามใจตนเอง ขี้เกียจ ดูสกปรก ไร้ระเบียบ มีลักษณะทั่วไปที่ปฏิเสธแบบแผนของสังคมซึ่งเป็นที่ยอมรับกัน. ➼ การตีความว่าคนอยู่ในโหมดของการเป็น goblin หมายถึงคนที่เลือกเองว่าจะอยู่ในโหมดของการเป็นคนสกปรก ขี้เกียจ ไม่สนใจสารรูปของตนเอง บริโภคอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ และชอบอยู่ในบ้านไม่ออกไปข้างนอก. ➼ สำหรับสำนักพิมพ์ดิกชันนารี Merriam-Webster ได้เลือก Word of the Year คำว่า "gaslighting" ซึ่งหมายความถึงการพยายามทำให้บุคคลหนึ่งรู้สึกไม่มั่นคงและสั่นคลอนในความเชื่อของตน จนทำให้รู้สึกว่าสิ่งที่เห็นหรือมีประสบการณ์มิได้เกิดขึ้นจริง. ซึ่งเพื่อประโยชน์ของตนเอง. ➼ สำนักพิมพ์ดิกชันนารี Collins เลือก "permacrisis" ซึ่งแปลว่าวิกฤตที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและคงทน เพื่อเล่าสถานการณ์ของโลกปัจจุบันที่คาดเดาได้ยาก เกิดความไม่มั่นคงในหลายด้าน บรรยากาศเต็มไปด้วยความวุ่นวาย. อ้างอิง: ...

Reserve Currency (s.538)

  #จดมาสรุปเป็นข้อ #ธุรกิจแบ่งปัน #busguy  ➼ Reserve Currency คือ เงินตราต่างประเทศที่ธนาคารกลางและสถาบันการเงินใหญ่ๆ ในโลกถือไว้เป็นจำนวนมาก เพื่อใช้ในการค้า การลงทุนและการชำระหนี้ระหว่างประเทศ. ➼ ตั้งแต่ปี 1944 มี 44 ประเทศได้ตกลงกันที่เมือง Bretton Woods ที่จะให้ดอลลาร์เป็นเงินตราที่จะใช้ในธุรกรรมระหว่างประเทศ โดยประเทศต่างๆ จะผูกค่าเงินของตนไว้กับดอลลาร์ และดอลลาร์ก็จะผูกไว้กับทองคำอีกต่อหนึ่ง ในอัตรา 35 ดอลลาร์ต่อทองทำ 1 Troy Ounce นี่เป็นจุดกำหนดของระบบอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ (Fixed Exchange Rate System). ➼ ในปี 1973 ประธานาธิบดีนิกสันได้ประกาศยกเลิกการผูกค่าเงินดอลลาร์ไว้กับทองคำ อันเป็นจุดเริ่มต้นของระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัว (Flexible Exchange Rate System) โดยแม้ดอลลาร์จะไม่มีทองคำหนุนหลัง แต่ดอลลาร์ก็ยังคงเป็น reserve currency หลักของโลกมาตลอดมาตลอดเกือบ 80 ปี เพราะสภาพคล่องที่มีสูงมาก. ➼ สหรัฐถือเป็นประเทศที่ได้เปรียบทุกประเทศในการที่สามารถใช้เงินของตนทำธุรกรรมต่างประเทศได้ อย่างไรก็ดี ในระยะยาว ยังมีคำถามที่เกิดขึ้นคือ ดอลลาร์อาจสูญเสียความเป็น reserve currency หลักของ...