ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

Agile vs Waterfall ในธุรกิจ (s.72)

 
.
คอลัมมในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 8 ก.ค. 63 มีเรื่องที่น่าสนใจโดย บลูบิค กรุ๊ป ซึ่งสรุปการเปรียบเทียบการทำงานในแบบ Agile ซึ่งเป็นคำที่เป็นกระแสในช่วงนี้ กับการทำงานแบบ Waterfall ซึ่งเป็นรูปแบบการทำงานที่องค์กรส่วนใหญ่ทำกันมาอย่างยาวนาน โดยมีความแตกต่างกันดังนี้
.
รูปแบบทีม (Team)
- Agile: ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมานั่งทำงานด้วยกัน (cross functional, colocated) 
  Waterfall: แต่ละฝ่ายทำงานแยกส่วนกัน (department-based)
- Agile: ทีมมีอำนาจในการตัดสินใจด้วยตนเอง (autonomous) 
  Waterfall: หัวหน้าแผนกแต่ละแผนกจะตัดสินใจในเรื่องที่เป็นขอบเขตของตนเอง
- Agile: ทีมถูกแต่งตั้งเพื่อโครงการโดยเฉพาะ (dedicated) 
  Waterfall: โครงการใช้บุคลากรที่แต่ละแผนกส่งมา ซึ่งอาจจะต้องรับผิดชอบงานอื่นด้วย
.
✅ รูปแบบกระบวนการ (Process)
- Agile: กำหนดเป้าหมายระยะสั้นและส่งมอบงานทีละชิ้นเล็กๆ 
  Waterfall: วางแผนการทำงานตั้งแต่ต้นจนจบในรอบเดียว
- Agile: แบ่งการทำงานเป็นหลายๆ รอบ (sprint)
  Waterfall: ทำงานให้เสร็จทีละชิ้น (stage) โดยไม่ย้อนกลับ
- Agile: แผนงานมีการเปลี่ยนแปลงบ่อยระหว่างการดำเนินงาน 
  Waterfall: ทำงานตามแผนที่แน่นอน มีการเปลี่ยนแปลงน้อย
จุดแข็ง (Strength)
- Agile: ยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลง แก้ไขข้อผิดพลาดได้รวดเร็ว
  Waterfall: มีขอบเขตของงานและการดำเนินงานที่ชัดเจนตั้งแต่เริ่ม
- Agile: ทีมสามารถทำงานได้เองและพึ่งพาผู้บริหารน้อยลง
  Waterfall: มีต้นทุนในการบริหารทรัพยากรต่ำกว่าหากงานราบรื่น
- Agile: ส่งเสริมการทำงานร่วมกันและกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์
  Waterfall: แผนงานสามารถนำมาทำซ้ำได้ง่ายในอนาคต (Repeatable)
.
จะเห็นได้ว่าวิธีการทำงานในแต่ละแบบทั้ง Agile และ Waterfall ต่างมีข้อดีแตกต่างกันซึ่งคงไม่สามารถสรุปได้ว่าแบบไหนดีกว่ากัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับบริบทของสภาพแวดล้อม ลักษณะงานที่ทำ และทัศนคติของคนในองค์กร  การนำไปประยุกต์ใช้วิธีดังกล่าวจึงไม่ควรสรุปเหมาเอากระแสในสังคมว่าสิ่งนี้ดีกว่าอีกสิ่งโดยไม่ได้วิเคราะห์ให้ถ้วนถี่จึงจุดเด่นและข้อจำกัดในแต่ละวิธี อีกทั้งธุรกิจควรพิจารณาภายในประกอบด้วยก่อนตัดสินใจเพื่อให้การทำงานของเราสร้างผลลัพธ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพตามที่ต้องการ.
.
#busguy
#ธุรกิจแบ่งปัน #business

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

กระตุ้นพฤติกรรม ด้วยโบนัสแบบ Spot (s.154)

  บริษัทจำนวนมาจะมีระบบการให้ผลตอบแทนที่เรียกว่า "โบนัส" ประจำปี  โดยอาจพิจารณาจากผลประกอบการของบริษัทร่วมกับผลงานของพนักงาน และโบนัสดังกล่าวมักอยู่ในรูปของเงินก้อนใหญ่เมื่อเปรียบกับเงินเดือนของพนักงานผู้นั้น ทำให้บริษัทต้องมีภาระทางการเงินเป็นจำนวนมากในช่วงเวลาดังกล่าวที่มีการให้โบนัส  อย่างไรก็ดียังมีวิธีหนึ่งในการให้ผลตอบแทนพนักงานซึ่งเป็นการให้ที่ถี่กว่าและจำนวนเงินก้อนเล็กกว่าเมื่อเทียบกับโบนัสประจำปี ซึ่งอาจเรียกว่าโบนัสในลักษณะนี้ว่าเป็น Spot Bonus โดยทั่วไปนั้น Spot Bonus จะให้กับพนักงานหรือกลุ่มของพนักงานสำหรับพฤติรรม การกระทำ หรือผลลัพธ์ในเรื่องหนึ่งๆ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการกระตุ้นผลงานและสร้างแรงจูงใจของพนักงานในการทำงาน โดยมักเกี่ยวข้องกับงานที่เป็นโครงการ หรือเป็นการให้เพื่อส่งเสริมการกระทำหรือพฤติกรรมบางอย่างที่บริษัทประสงค์จากตัวพนักงาน.  ประโยชน์การนำ Spot Bonus มาใช้ในองค์กรนั้นมีประเด็นที่น่าสนใจที่สามารถนำไปปรับใช้ได้ ดังนี้ 1. Spot Bonus สามารถสร้างความพึงพอใจให้กับพนักงานได้บ่อยครั้งขึ้น - แทนที่ต้องรอโบนัสในช่วงปลายปี การให้ Spot Bonus จะ...

Word of the Year 2022 (s.540)

  #จดมาสรุปเป็นข้อ #ธุรกิจแบ่งปัน #busguy  ➼ Word of The Year ที่นำเสนอโดยสำนักพิมพ์ดิกชันนารีออกฟอร์ด ซึ่งได้ประกาศออกมาโดยการใช้วิธีการโหวตออนไลน์ ได้คำว่า "goblin mode" ซึ่งหมายถึงชนิดของพฤติกรรมที่ตามใจตนเอง ขี้เกียจ ดูสกปรก ไร้ระเบียบ มีลักษณะทั่วไปที่ปฏิเสธแบบแผนของสังคมซึ่งเป็นที่ยอมรับกัน. ➼ การตีความว่าคนอยู่ในโหมดของการเป็น goblin หมายถึงคนที่เลือกเองว่าจะอยู่ในโหมดของการเป็นคนสกปรก ขี้เกียจ ไม่สนใจสารรูปของตนเอง บริโภคอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ และชอบอยู่ในบ้านไม่ออกไปข้างนอก. ➼ สำหรับสำนักพิมพ์ดิกชันนารี Merriam-Webster ได้เลือก Word of the Year คำว่า "gaslighting" ซึ่งหมายความถึงการพยายามทำให้บุคคลหนึ่งรู้สึกไม่มั่นคงและสั่นคลอนในความเชื่อของตน จนทำให้รู้สึกว่าสิ่งที่เห็นหรือมีประสบการณ์มิได้เกิดขึ้นจริง. ซึ่งเพื่อประโยชน์ของตนเอง. ➼ สำนักพิมพ์ดิกชันนารี Collins เลือก "permacrisis" ซึ่งแปลว่าวิกฤตที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและคงทน เพื่อเล่าสถานการณ์ของโลกปัจจุบันที่คาดเดาได้ยาก เกิดความไม่มั่นคงในหลายด้าน บรรยากาศเต็มไปด้วยความวุ่นวาย. อ้างอิง: ...

Reserve Currency (s.538)

  #จดมาสรุปเป็นข้อ #ธุรกิจแบ่งปัน #busguy  ➼ Reserve Currency คือ เงินตราต่างประเทศที่ธนาคารกลางและสถาบันการเงินใหญ่ๆ ในโลกถือไว้เป็นจำนวนมาก เพื่อใช้ในการค้า การลงทุนและการชำระหนี้ระหว่างประเทศ. ➼ ตั้งแต่ปี 1944 มี 44 ประเทศได้ตกลงกันที่เมือง Bretton Woods ที่จะให้ดอลลาร์เป็นเงินตราที่จะใช้ในธุรกรรมระหว่างประเทศ โดยประเทศต่างๆ จะผูกค่าเงินของตนไว้กับดอลลาร์ และดอลลาร์ก็จะผูกไว้กับทองคำอีกต่อหนึ่ง ในอัตรา 35 ดอลลาร์ต่อทองทำ 1 Troy Ounce นี่เป็นจุดกำหนดของระบบอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ (Fixed Exchange Rate System). ➼ ในปี 1973 ประธานาธิบดีนิกสันได้ประกาศยกเลิกการผูกค่าเงินดอลลาร์ไว้กับทองคำ อันเป็นจุดเริ่มต้นของระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัว (Flexible Exchange Rate System) โดยแม้ดอลลาร์จะไม่มีทองคำหนุนหลัง แต่ดอลลาร์ก็ยังคงเป็น reserve currency หลักของโลกมาตลอดมาตลอดเกือบ 80 ปี เพราะสภาพคล่องที่มีสูงมาก. ➼ สหรัฐถือเป็นประเทศที่ได้เปรียบทุกประเทศในการที่สามารถใช้เงินของตนทำธุรกรรมต่างประเทศได้ อย่างไรก็ดี ในระยะยาว ยังมีคำถามที่เกิดขึ้นคือ ดอลลาร์อาจสูญเสียความเป็น reserve currency หลักของ...